คุณภาพอากาศ เป็นยังไง? Garmin บอกได้!

ทุกคนคงทราบสภาพอากาศที่มีมลพิษและฝุ่น PM2.5 ในอากาศทั้งกรุงเทพฯและปริมณฑล (รวมถึงในบางจังหวัด) การเช็คคุณภาพอากาศ AQI แบบ Real-time นั้นมีหลากหลายวิธีไม่ว่าจะเป็น Smart Phone Application, บน Website และอีกวิธีหนึ่งที่คุณยังอาจจะยังไม่ทราบคือบนนาฬิกา #GARMIN เรือนโปรดของคุณ ผ่าน Widget ทื่ชื่อว่า “Airly” ที่สามารถดาวน์โหลดได้จาก Connect IQ Store ส่วนขั้นตอน และวิธีการนั้น เรามาเริ่มทำกันแบบ Step by step เลย

Step 1 – เข้า Connect IQTM Store
(อย่าลืมเปิด Bluetooth ก่อน)

เปิดแอพฯ Garmin Connect และกดไปที่เมนู (รูปขีด 3ขีด)

– สำหรับ iOS อยู่มุมขวาล่าง

– สำหรับ Android อยู่มุมซ้ายบน

และเลื่อนเมนูลงมา และกดเข้าไปที่ Connect IQTM Store

(สำหรับคนที่ยังไม่เคยเข้า Connect IQTM Store ต้อง Log-in อีกครั้งโดยใช้ ID และ Password เดียวกับ Garmin Connect)

Step 2 – Download Widget “Airly”

1.พิมพ์ใช่ช่องค้นหาว่า Airly

2. กดเครื่องหมายค้นหา (แว่นขยาย)

3. เลือก Widget “Airly – Air Quality Manager”

4. กด Download > ระบบจะขึ้นหน้าให้เรายอมรับเงื่อนไขการใช้งาน ก็กด Accept Term ตามปกติ

Step 3 – Sync Garmin Connect อีกครั้ง

หลักจาก Download Widget “Airly” เรียบร้อยแล้ว ให้กลับไปที่หน้าแรกของแอพฯ Garmin Connect

และกด Refresh อีกครั้ง แล้วรอจนกว่าระบบจะ Sync สำเร็จ (วงกลมสีเขียวหมุนจนเต็มวง)

Step 4 – มาทำกันต่อที่นาฬิกา

Widget “Airly” จะเข้ามาอยู่ใน Widget ของคุณหน้าสุดท้าย (กดเลื่อนขึ้นแล้วเจอเลย)

โดยการใช้งานนั้นจะต้องเชื่อมต่อ Bluetooth กับโทรศัพท์เพื่อดึงข้อมูลแบบ Real-time จากอินเตอร์เน็ต

ซึ่งข้อมูลของ Widget Airly นั้นสามารถบอกข้อมูลได้อย่างมากมายไม่ว่าจะเป็น

– ค่า Air Quality Index (AQI)

– ค่า PM 2.5 และ PM 10

– อุณหภูมิปัจจุบัน และความชื้นสัมพัทธ์

– การวิเคราะห์ข้อมูล และนำแนะนำ (ในหน้าที่ 2 เมื่อกด Enter เข้าไป)

– อ้างอิงชื่อสถานีวัดสภาพอากาศที่วัดข้อมูล (Measurement Location)

– บอกเวลาที่รับข้อมูล และพิกัดจาก GPS (Timestamp & Coordinates from GPS)

สำหรับผู้ที่ Widget ไม่แสดงอัตโนมัติ สามารถทำตามขั้นตอนดังนี้

1. เข้าไปที่เมนู > ตั้งค่า (Setting) > Widgets >Add Widgets > Airly (อยู่ข้อสุดท้าย)

2. จากนั้นระบบจะให้เลือกตำแหน่งการวางของ Widget “Airly”

เพียงเท่านี้ Widget “Airly” ก็พร้อมใช้งานบนนาฬิกาเรือนโปรดของคุณแล้ว

นาฬิกา Garmin รุ่นที่รองรับการใช้งานมีดังนี้

(ทุกรุ่นที่สามารถเชื่อมต่อ Connect IQTM Store ได้)

– vivoactive3 & vivoactive3 Music

– Forerunner 235

– Forerunner 645 & Forerunner 645 Music

– Forerunner 735XT

– Forerunner 935

– fenix3 & fenix3 HR Series

– fenix5 Series

– fenix5 Plus Series

– Decent Mk1

– Approach S60

อย่ารอช้า!!! รีบโหลดมาใช้ด่วนๆ Garmin เป็นห่วงนะ

#GarminThailand #GarminSport #GarminByGIS #ConnectIQ

การตั้งค่า HR Zone ผ่าน Garmin Connect

ในปัจจุบัน HR Zone นั้นเป็นที่รู้จัก และใช้กันอย่างแพร่หลาย เนื่องจากเป็นค่าที่สำคัญในการออกกำลังกาย เพราะฉะนั้นเราจึงควรจะตั้งค่า HR Zone ให้ตรงกับสมรรถภาพของร่างกายเราให้มากที่สุด เพื่อให้ HR Zone ช่วยบอกความเหนื่อย, ความหนัก-เบา ในการออกกำลังกายให้แม่นยำที่สุด
มาลองตั้งค่า HR Zone ผ่าน App. Garmin Connect ตามขั้นตอน ไปพร้อมๆกันเลยครับ

  1. กดเข้าไปที่รูปนาฬิกา
    หลักจากเปิด App Garmin Connect และเปิด Bluetooth เชื่อมต่อกับนาฬิกาเรียบร้อยแล้ว
  2. เลือกที่ “การตั้งค่าผู้ใช้” (User Setting)
  1. เลื่อนลงมา และเลือกที่ “กำหนดค่าโซนอัตราการเต้นของหัวใจ” (Configure Heart Rate Zones)
  2. เลือกวิธีการคำนวณโซนอัตราการเต้นของหัวใจ ซึ่งมีให้เลือกถึง 3 วิธี
  1. การแบ่ง HR Zone มี 3 วิธีดังนี้
  2. % อัตราหัวใจสูงสุด ( % of Max Heart Rate)
    คำนวณจากอัตราการเต้นของหัวใจสูงสุด (Max HR) และแบ่งออกเป็นเปอร์เซนต์
  3. % เกณฑ์แลคเตท ( % of Lactate Threshold)
    คำนวณหาค่า Lactate Threshold โดยการทดสอบด้วยการออกกำลังกาย
  4. % อัตราการเต้นของหัวใจที่สำรอง ( % of Heart Rate Reserve)
    คำนวณจากการวัดค่า Max HR และอัตราการเต้นหัวใจขณะพัก (Resting HR)
    โดยการเลือกใช้ HR Zone ในแต่ละแบบนั้นมีข้อดี ข้อเสีย และหลักการในการคำนวณที่แตกต่างกันได้ ดังนั้นผู้ใช้ควรจะศึกษาวิธีการใช้งาน การคำนวณ และเลือกวิธีการที่เหมาะสมกับตนเองมากที่สุด
  1. การหาค่า Resting Heart Rate
    วิธีการหาอัตราการเต้นของหัวใจขณะพัก
  2. ใช้ค่า Resting Heart Rate ที่ได้จากการใส่นาฬิกา Garmin นอน
    ควรจะใช้ค่า Last 7 Days Avg. RHR หรือค่า Resting Heart Rate เฉลี่ย 7 วันล่าสุด
    (ควรใส่นาฬิกาแน่นพอสมควร และต่อเนื่องกัน 7 วันเป็นอย่างน้อย)
  3. ใช้ค่าที่ได้จากการวัดชีพจรด้วยตนเอง
    สามารถวัดค่าชีพจรตนเองขณะที่ตื่นนอนได้ 2 จุดคือบริเวณคอ หรือบริเวณข้อมือ โดยจะนับอัตราการเต้นของตัวใจประมาณ 1 นาที แต่อย่างไรก็ตาม เราควรจะนำค่าที่ได้มาจดบันทึก และเฉลี่ยเป็นเวลา 7 วันด้วยเช่นกัน
  4. การตั้งค่า HR Zone เฉพาะสำหรับการวิ่ง จักรยาน และว่ายน้ำ
    สำหรับนักกีฬาที่ต้องการฝึกซ้อมเพื่อความเป็นเลิศ หรือต้องการเห็นผลจากการฝึกซ้อมกีฬาแต่ละชนิดอย่างจริงจัง
    HR Zone เฉพาะกีฬานั้นคือว่าจำเป็นเป็นอย่างยิ่งสำหรับการฝึกซ้อม เพราะว่าจริงๆแล้ว HR Zone ในกีฬาวิ่ง กับ HR Zone ในกีฬาจักรยานนั้น ส่วนใหญ่แล้วจะมีค่าที่ไม่เท่ากัน เพราะกีฬาต่างประเภทกันมีการใช้กล้ามเนื้อไม่เหมือนกัน และแรงกระแทกของร่างกายก็ไม่เท่ากัน
    ดังนั้นถ้าคุณต้องการซ้อมกีฬาอย่างจริงจัง การตั้งค่า HR Zone เฉพาะประเภทกีฬานั้นเป็นอะไรที่ตอบโจทย์นักกีฬาได้อย่างดีที่สุด
    มาลองนำไปใช้กันได้นะครับ